facebook diary

เริ่มเปิดบัญชี facebook เมื่อประมาณปี 2008 เพราะไปอ่านเจอมาจากไหนสักแห่งว่า “วัยรุ่นที่อเมริกาฮิตเล่นกันมากๆ” ด้วยความอยากรู้ว่ามันฮิตได้ยังไง มันมีอะไรน่าสนใจ

ปีแรกที่เล่นเหงาโพดๆ เพราะไม่มีคนไทยในนั้นเลย ได้แต่ส่งเมล์ชวนเพื่อนมหาลัยมาเล่นด้วยกัน หน้าตาเว็บก็เรียบๆ เหมือนไม่ได้เน้นเรื่องการมีส่วนร่วมในข่าวสารมากเท่าปัจจุบัน

ตอนนั้นจะโพสลิ้งก์ YouTube ก็ยังเข้าไปอยู่ในหมวด “ลิงก์” ไม่โชว์ที่ feed ด้วยซ้ำ เวลาใครไลค์-คอมเม้นท์อะไร ก็ยังไม่โจ่งแจ้ง เดี๋ยวนี้แม้กระทั่งดู Social Cam ยังโชว์

คือจะเห็นบ่อยม๊ากเวลาเพื่อนดู Social Cam 18+ ยังคิดในใจว่ามันคงไม่รู้หรอกว่าคนอื่นเห็นพฤติกรรม ยังดีว่าเพื่อนคนนั้นเป็นผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงแถมมีเจ้านาย-เพื่อนร่วมงานเป็น friend มันจะดูแย่ขนาดไหน

พูดถึงว่าองค์กรไหนเป็นเจ้าแรกที่เข้ามามีชีวิตอยู่ใน facebook (ซึ่งต่อไปนี้จะเรียกว่า fb) จำได้แม่นว่าคือ K-Bank Live เราว่าเจ๋งดีนะ ค่อนข้างมีวิสัยทัศน์ ดูตอนนี้เพจองค์กรใหญ่เล็กจิ๋วก็ลงมาเล่น fb กันทั้งนั้น เพราะว่าในจุดที่มีคนไปอยู่เยอะๆ แล้วมีสินค้าหรือบริการเข้าไปอยู่ร่วมในสังคมนั้น มันก็ก่อให้เกิดความใกล้ชิด เวลามีเหตุที่จะต้องใช้สินค้าหรือบริการ ก็จะคิดถึงเจ้านั้นเป็นชื่อแรก ที่สำคัญคือใช้บริการฟรี (แต่คนดูแลเพจต้องเสียเงินจ้างนะ)

fb มีความเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ตามประสาบริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์ เมื่อตอนเล่นแรกๆ ก็ตั้ง status บ้างนะ บ่นเบื่อไร้สาระก็มี แม้กระทั่งแถวๆ ปี 2010 ก็ยังมีสเตตัสเวิ่นเว้ออยู่ แต่พอนานไปชักไม่อยากบ่นอะไรให้มากความ พูดตรงๆ คือเกรงใจเพื่อนร่วม feed ที่ต้องมาอ่านข้อความของเราที่อาจจะทำให้อารมณ์ขุ่นมัว

อันที่จริง fb นี่ก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ เหมือนเราไปอยู่กลางตลาด ก็มันเป็นโซเชี่ยลเน็ตเวิร์ก ดังนั้นเป็นเรื่องปกติที่เราจะได้เห็นอะไรที่อาจจะไม่ชอบหรือรำคาญก็ได้ เช่น อวด โชว์ เรียกร้องความสนใจ สร้างภาพ ด่าคนที่ทำให้อารมณ์เสีย ไม่พอใจ หรือได้อ่านสเตตัสที่ถูกใจจนต้องบอกว่า “อยากกระทืบไลค์” “ชอบมาก ขอแชร์นะ” “ล้านไลค์เลยจ่ะ” ประมาณนี้

เคยเห็นกระทู้ทำนองว่า “ตลกจัง ทำไมต้องโชว์เรื่องแบบนี้บนเฟซบุ๊กด้วย” แล้วก็ลากคนอื่นมาร่วมวง ซึ่งร้อยละ 99.99 มักจะเป็นวัฒนธรรมล่าแม่มด

สำหรับเรื่องนี้เรามีความเห็นดังนี้

1. อย่างที่บอก fb คือตลาดสด ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเจอ ถ้าำไม่อยากรำคาญ ก็อย่าเข้าไปเล่น หรือไม่ก็ซ่อนเพื่อนคนนั้นซะ เพราะทุกคนรู้ดีว่าการ unfriend คืออาชญากรรมขั้นร้ายแรง ถ้าเรา unฯ ใคร คนนั้นจะไม่มีวันเข้าใจเรา และโกรธเคือง งอน ส่งผลให้สัมพันธภาพสั่นคลอนมากๆ ในชีวิตจริง

2.ทุกคนมักบอกว่า เฮ้ยนี่หน้าบ้านฉันอ่ะ (แบบที่ดาราชอบพูดเวลาเกิดเรื่อง เมื่อต้นเพลิงมาจาก Instagram บ้าง facebook บ้าง เสร็จแล้วพอไฟลามทุ่งก็ล็อค private) เอาจริงๆ แล้วไม่มีคำว่าส่วนตัวบนโลกโซเชี่ยลหรอก แต่ทั้งนี้ก็ต้องยอมรับว่าแม้จะมีความเป็นส่วนตัวแต่แค่ครึ่งเดียวนะ

คนอื่นมีสิทธิ์รำคาญไหม มี
แล้วเรามีสิทธิ์โพสอย่างใจคิดไหม มี แต่คงไม่อย่างใจคิด 100% หรอกนะ มีอะไรก็เก็บๆ ไว้ในใจบ้างเฮอะ

เราคิดว่าใครจะทำอะไรก็ได้แหละ แต่อย่าให้กระทบต่อความรู้สึกคนรอบข้างเท่านั้นเอง เพราะมันจะหวนกลับมาหาเราในท้ายที่สุดจนได้แหละ ถ้าเวลาอารมณ์เสียมากๆ อยากระบายก็จัดเต็มไปเลย แต่ตั้งค่า only me ไว้ก่อน ผ่านไปซักวันค่อยมาอ่านดูจะรู้ว่าเป็นข้อความที่ไม่น่าส่งต่อสู่สายตาชสวโลกในทุกกรณี

ส่วนอันนี้ประมวลพฤติกรรมของเราเวลาเล่น facebook

1. รูปโปรไฟล์ ระมัดระวังที่จะไม่ถ่ายหน้าชัดเจนหรือไม่ก็ใช้รูปอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องไปเลย เพราะถ้ามีใครพิเรนทร์ save รูปเราไปทำอะไรแย่ๆ เล่น เอารูปเราไปใส่โปรไฟล์ตัวเองแล้วไปหลอกลวงคนนั้นคนนี้ เราจะซวยเอา ถึงเราจะไม่ผิดแต่มันเสียเวลา

2.ตั้ง review tag ไม่อนุญาตให้ใคร tag ได้ตามอำเภอใจ รู้สึกเหมือนโดนล่วงล้ำความเป็นส่วนตัว บางทีใครที่ไหนก็ไม่รู้มา tag รูปบ้าบออะไรก็ได้งั้น อันนี้เคยโดนและรู้สึกไม่โอเค คิดว่าเขาควรจะขออนุญาตก่อน

3.ไม่แชร์ข้อมูลส่วนตัวทุกอย่าง ได้แก่ บ้านอยู่แถวไหน ทะเบียนรถ สีรถ เบอร์โทร สถานที่ๆ ชอบไป แฟน พ่อ แม่ ครอบครัว โรงเรียน บริษัท กิจวัตรประจำวัน ของที่ชอบกิน คือแทบจะไม่แชร์อะไรเลยดีกว่า จนสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าจะเล่นไปทำไม 555 ไม่รู้สิ พอดีเป็นพวกขี้ระแวง คิดว่าถ้าเปิดโปรไฟล์เป็นสาธารณะแล้วมีใครสักคนคลิกเข้ามาดูข้อมูลคร่าวๆ เขาก็จะรู้เลยว่าเราเป็นคนยังไง จากข้อมูลต่างๆ ที่เราใส่ไว้หรือม้กระทั่งจากเพจที่เราไลค์ (ถ้าใครมันจะอยากรู้เรื่องเรามากขนาดนั้นอ่ะนะ) แต่เพื่อความปลอดภัย เราเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้ดีกว่า

แต่ยังไม่ถึงขั้นปิดวอลล์ห้ามคนอื่นโพสนะ นึกแล้วขำ ครั้งนึงเลยลองกดๆ เข้าไปดูการตั้งค่าความเป็นส่วนตัวเล่นๆ แล้วปิดหน้าวอลล์เอาไว้ ผ่านไปเป็นปีเข้าไปดูอีกทีเพิ่งเห็นว่าปิดหน้าวอลล์ไว้นี่หว่าลืมเลย คือถ้าใครอยากคุยต้อง message อย่างเดียวเลย

4. หลักๆ เลยเรามี fb ไว้อ่านข่าวสารจากหน่วยงานที่สนใจ หรือคนที่มีความคิดดีๆ จรรโลงใจ สร้างสรรค์สังคม หรือมีประโยชน์ต่อการใช้ชีวิต/การทำงาน คือการเล่นอะไรพวกนี้มันเสียเวลาทำงาน-เวลาพักผ่อน จึงอยากเสียเวลาให้แก่สิ่งที่ควรค่า ไม่งั้นก็จะไปนอน (ฟังดูเปี่ยมสาระจนน่าหมั่นไส้)

5. ตั้งค่าให้เห็นข้อมูลส่วนตัวเฉพาะเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นสเตตัส รูปภาพ…ทุกอย่างอ่ะ แล้วก็จะรับเป็นเพื่อนเฉพาะคนรู้จัก ยกเว้นกรณีเป็นบุคคลน่าสนใจที่ไม่มีปุ่มให้ follow จึงไปขอเขาเป็นเพื่อน จริงแล้วไม่อยากขอคนแปลกหน้าเป็นเพื่อน เพราะไม่อยากอ่านสเตตัสเวิ่นเว้อจากเขา เข้าใจว่าคนเราทุกคนต้องมีโหมดนั้น แต่ก็แค่ไม่อยากอ่านน่ะ

เวลาโดนเพื่อนชวนเล่นเกมแบบถี่ๆ ทุกวันเราก็ยังไม่รำคาญเท่าไหร่ อะไรไม่ถูกหูถูกใจก็ข้ามมันไป บางคนพูดเรื่องการเมืองเราไม่ถนัด ก็ไถมือยาวๆ แต่คงไม่ไปด่า ไปตำหนิติติง เพราะการตำหนิกันเป็นตัวหนังสือมันสื่อความไม่ครบถ้วนเท่าเจอกันตัวเป็นๆ หรอก ทำให้คนโกรธกันเพราะเข้าใจผิดง่ายมาก

Leave a comment